ด้วยในปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่เริ่มทำธุรกิจของตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการขายของออนไลน์เนื่องจากเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้อยู่ที่ไหนก็สามารถนำเสนอขายสินค้าได้โดยไม่ต้องลงทุนมีหน้าร้านของตนเองหรือไม่ต้องลงทุนเสียค่าเช่า เป็นต้น
โดยทั่วไป การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกสั้น ๆ ว่า “VAT” นั้น จะเสียจากกรณีขายสินค้าหรือให้บริการ โดยคิดจากมูลค่าทั้งหมดที่ได้รับจากการขายสินค้าหรือให้บริการ ซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีทางอ้อมที่ผู้ประกอบการสามารถผลักภาระภาษีไปยังผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการให้เป็นผู้ออกค่าภาษีมูลค่าเพิ่มได้ โดยผู้ประกอบการมีหน้าที่เรียกเก็บและนำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้รับดังกล่าวแก่สรรพากร ทั้งนี้ ก่อนที่ผู้ประกอบการจะสามารถเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการได้ ผู้ประกอบการจะต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้มีฐานะเป็น “ผู้ประกอบการจดทะเบียน” เสียก่อน
อยากเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องทำอย่างไร ?
การจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนเพื่อเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถดำเนินการได้ 3 ช่วงเวลา ดังนี้
1. ช่วงก่อนเริ่มประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการ
ผู้ประกอบการที่กำลังจะเริ่มประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการมีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก่อนวันเริ่มประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการได้โดยสมัครใจเพื่อเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม หากผู้ประกอบการมีแผนงานหรือมีการดำเนินการเพื่อเตรียมประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น แผนการก่อสร้างอาคารโรงงานหรือการติดตั้งเครื่องจักร
2. ช่วงเริ่มประกอบธุรกิจ
ผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการและกิจการยังไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เกิน 1,800,000 บาทต่อปี มีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้โดยสมัครใจ เพื่อจะได้ใช้สิทธิประโยชน์จากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษี
3. ช่วงประกอบธุรกิจแล้วมีรายได้เกิน 1,800,000 บาทต่อปี
ผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการ และมีรายได้จากการประกอบกิจการเกิน 1,800,000 บาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รายได้ในการประกอบกิจการเกิน 1,800,000 บาท ซึ่งหากผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดต้องชำระเบี้ยปรับตามกฎหมาย เทียบเคียงหนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรที่ กค 0702/3397 ฉบับลงวันที่ 19 มิถุนายน 2551
ทั้งนี้ สำหรับการเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายเพิ่มเติมด้วย
ข้อดีของการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน
1. ช่วยลดต้นทุนเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจะทำให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนสามารถผลักภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (เครดิตหรือขอคืน) ให้แก่ผู้บริโภคได้ ทำให้ต้นทุนการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการจดทะเบียนลดลง
2. ระบบบัญชีที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องจัดทำเอกสารทางภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ รายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ หรือรายงานสินค้าและวัตถุดิบ แล้วแต่กรณี ทำให้การบันทึกรายการบัญชีของกิจการเป็นไปอย่างมีระบบไปโดยปริยาย เทียบเคียงหนังสือตอบข้อหารือของกรมสรรพากรที่ กค 0702/9488
3. ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ลูกค้าและเพิ่มโอกาสในทางธุรกิจ เพราะเมื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ก็จะมีใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ที่ออกโดยกรมสรรพากรซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบและสามารถตรวจสอบสถานะและความมีตัวตนของผู้ประกอบการรายนั้นได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ในกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนก็มักจะเลือกซื้อสินค้าหรือใช้บริการกับผู้ประกอบการจดทะเบียนด้วยกันเอง เพื่อจะได้ใช้สิทธิประโยชน์จากการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนในการผลักภาระภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างเต็มที่ ผู้ประกอบการจดทะเบียนส่วนใหญ่จึงไม่นิยมซื้อสินค้าหรือใช้บริการกับผู้ประกอบการทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียน (ไม่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม)
แลกมาด้วยข้อเสียที่ยอมรับได้
1. มูลค่าของสินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้น เมื่อผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้ต้องบวกค่าภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ที่สินค้าหรือบริการ ดังนั้น กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนขายสินค้าหรือให้บริการแก่ผู้ประกอบการหรือบุคคลธรรมดาที่ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มย่อมทำให้บุคคลดังกล่าวจะรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มไปด้วย อันเป็นไปตามหลักการของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ว่า ผู้เสียภาษี คือ ผู้บริโภค
2. มีหน้าที่นำส่งเอกสารต่อสรรพากร เมื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว จะมีหน้าที่ในการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ภ.พ.30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ถึงแม้ว่าในเดือนนั้น ๆ กิจการจะไม่มีการซื้อขายหรือให้บริการก็ตาม6
3. ความเสี่ยงจากการปฏิบัติการทางภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ถูกต้อง หากกิจการใดไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทางภาษี อาจมีความเสี่ยงในการปฏิบัติการทางภาษีที่ไม่ถูกต้อง อันเป็นเหตุให้ต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับเงินเพิ่มได้ อย่างไรก็ดี การเพิ่มความรู้ทางภาษีให้แก่บุคลากรที่มีอยู่เดิม หรือจัดหาบุคลากรที่มีความรู้ทางภาษีเพิ่มเติมก็จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
บทสรุป
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนถือได้ว่าเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญในการประกอบธุรกิจ เนื่องจากกิจการของผู้ประกอบการจดทะเบียนจะไม่ต้องรับภาระจากภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้ต้นทุนของกิจการลดลงไปอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและมูลค่าในทางธุรกิจแก่กิจการ ทำให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนสามารถขยายฐานลูกค้าหรือกำไรในทางธุรกิจจากการขายสินค้าหรือให้บริการที่มากขึ้นได้ แต่ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องคำนึงเสมอว่า สิทธิประโยชน์ดังกล่าวก็มาพร้อมกับหน้าที่และความรับผิดตามกฎหมาย ซึ่งหากผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อาจส่งผลให้ต้องรับผิดชำระภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มในอนาคตได้